ปี 2022 คนไทยกว่า 35.6% เจอแบรนด์หรือสินค้าจากการค้นหา ด้วย Search Engine มากที่สุด แสดงว่าคนไทยให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ปรากฎใน Search Engine พอสมควรเลย ดังนั้น เรามาลองใช้ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data เพื่อช่วยในการทำคอนเทนต์เชิง SEO กัน
Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data ทั้งสามอย่างนี้เป็น ดูจากชื่อแล้วน่าจะเข้าใจยากราวกับมัลติเวิร์สในจักรวาล Marvel (ซึ่งจะว่าไปก็ใช่ ฮ่า ๆ) แต่ครั้งนี้เราจะเป็นมัลติเวิร์สในจักรวาล Search Engine แทน เดี๋ยวไปดูพร้อมกันว่า มันช่วยในแง่การทำคอนเทนต์เชิง SEO ได้ยังไงกันครับ
คำเตือน : เนื้อหาค่อนข้างยาวและเป็นเนื้อหาแบบแนะนำวิธีทำ (How-to) ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอ่านพอสมควร แต่หากเพื่อน ๆ ยังไม่สะดวกอ่าน เรามี e-book : คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator ท้ายบทความฮะ
- รู้หรือไม่? ปี 2022 คนไทยเจอแบรนด์หรือสินค้าจาก Search Engine มากที่สุด
- ทำไมเราควรใช้ Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO
- Rich Snippets คืออะไร?
- ทำความรู้จักกับ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data
- Rich Snippets / Structured Data มีกี่แบบ
- วิธีใส่ Rich Snippets / Structured Data ลงในคอนเทนต์บนเว็บไซต์
- วิธีทำและวิธีใส่ Structured Data ลงในเว็บไซต์
- สุดท้ายที่อยากฝาก : คอนเทนต์(Content) ยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ
- FAQ
- e-book : คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator
รู้หรือไม่? ปี 2022 คนไทยเจอแบรนด์หรือสินค้าจาก Search Engine มากที่สุด
จากที่ข้อมูลล่าสุดของ DIGITAL 2022: THAILAND มีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ Search Engine ของคนไทย ที่อยากแชร์ต่อให้เพื่อน ๆ คือ
- กว่า 35.6% คนไทยเจอแบรนด์หรือสินค้าจากการค้นหาด้วย Search Engine มากที่สุด
- คนไทยจะค้นหาข้อมูลแบรนด์ สินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ และช่องทางทางอันดับหนึ่งที่ใช้ค้นหา คือ Search Engine (53%)
- การค้นหาที่รองลงมา คือ Social Network (47.5%)
ข้อมูลนี้บอกอะไรเราได้บ้าง?
อาจบอกได้ว่า การทำคอนเทนต์ในยุคปัจจุบันนั้น ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำคอนเทนต์วิดีโอหรือกราฟฟิกอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เราต้องใส่ใจกับการทำคอนเทนต์เชิง SEO (Search Engine Optimization) ด้วย
อย่างที่เห็นในข้อมูล คนหันกลับมาใช้ Search Engine กันมากขึ้น และใช้ Search Engine เป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์/สินค้าเลยทีเดียว
ดังนั้น หากเราต้องการทำคอนเทนต์เพื่อให้สินค้าหรือแบรนด์ของเราสามารถค้นหาเจอใน Search Engine เราต้องใช้คอนเทนต์เชิง SEO เข้ามาช่วย
ซึ่งวันนี้ผมจะมาแชร์อีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้คอนเทนต์เชิง SEO ของเราดูแตกต่างและกระตุ้นให้คนอยากคลิกมากขึ้น นั่นคือ การใช้ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data นั่นเอง
ทำไมเราควรใช้ Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO
เพราะการใช้ Rich Snippets ช่วยกระตุ้นให้เกิด Click Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกผ่านไปที่เว็บไซต์เราเยอะขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า ช่วยกระตุ้นให้คนอยากคลิกเข้าเว็บไซต์เรามากขึ้นนั่นเอง
และหากคอนเทนต์ในเว็บไซต์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์เราได้นานขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อเว็บไซต์เราในแง่การจัดอันดับเชิงคุณภาพของ Google ซึ่งอาจช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับ SEO ได้ง่ายขึ้น หรืออยู่ในอันดับที่ดีขึ้นตามไปด้วย
อัตราการคลิกผ่าน (Click Through Rate : CTR) คืออะไร
CTR หรือชื่อเต็ม Click Through Rate แปลตามตัวคือ อัตราการคลิกผ่าน เป็นหนึ่งในค่าที่ช่วยบอกถึงความสนใจหรือสื่อถึงประสิทธิภาพของสิ่งที่เราวัดผลจากการคลิ๊กได้
ในมุมการทำโฆษณา เช่น Google Ads ค่า CTR จะช่วยบอกว่าโฆษณาตัวนั้นของเราได้ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายดีขนาดไหน (ในแบบเบื้องต้น) เช่น ถ้าค่า CTR สูง อาจบอกได้ว่าโฆษณาเรามีประสิทธิภาพ ถ้าค่า CTR น้อย อาจแสดงว่าโฆษณานั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ต้องมีการปรับ เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://support.google.com/google-ads/answer/2615875?hl=th
Rich Snippets คืออะไร?
Rich snippet คือ รูปแบบการแสดงผลพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงผลในหน้าการค้นหา (Search Engine Result Pages : SERPs) แต่เนื่องจาก Rich snippet มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ และสร้างความสับสนในการใช้งานอยู่ไม่น้อย ดังนั้น Google จึงเรียก Rich Snippets แบบต่าง ๆ ในชื่อ การแสดงผลสื่อสมบูรณ์ (Rich Results)
Rich snippet แสดงผลด้วยตัวเองไม่ได้
ลำพัง Rich snippet ไม่สามารถแสดงผลแบบ Rich Result ได้ด้วยตนเอง มันจำเป็นต้องมีการใช้ ข้อมูลที่มีโครงสร้าง(Structured Data) เข้ามาช่วย ชื่ออาจจะฟังดูยุ่งยากไปนิด แต่เดี๋ยวเรามาดูกันครับว่ามันสำคัญยังไง
ทำความรู้จักกับ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data
จากที่ผมแชร์แนวทางการทำคอนเทนต์ในบทความว่าด้วย Search Intent ว่าจริง ๆ แล้ว Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data เป็นคนละคำ ทำคนละหน้าที่กัน อย่างในภาพนี้ครับ
คำอธิบาย Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data
ก่อนจะไปอ่านคำอธิบายของภาพนี้ ผมเขียนคำอธิบายไว้ 2 แบบ แบบทางการกับแบบไม่ทางการ เพื่อน ๆ สามารถเลือกข้ามไปอ่านแบบที่ต้องการได้เลยจากการคลิกปุ่มด้านล่างนี้ (ภาพประกอบไม่เกี่ยวฮะ ฮ่า ๆ)
คำอธิบายแบบเป็นทางการ
ส่วนนี้จะดูเนิร์ดแว่นหนามาก (ฮ่า ๆ) และข้อมูลจะลึกหน่อย แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเข้าใจหลักการเอาไว้
Rich Results คืออะไร
Rich Results คือ ชื่อเรียกแบบรวม ๆ ของการแสดงผลการค้นหา โดยดึงข้อมูลจาก Structure Data มาแสดงผลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Rich snippet, Featured snippet เป็นต้น
Structured Data คืออะไร
Structured Data หรือ ข้อมลูที่มีโครงสร้าง ทำหน้าที่จัดรูปแบบโครงสร้างคอนเทนต์ในเว็บ ให้พร้อมสำหรับ Search Engine โดยใช้ Schema เข้ามาช่วยทำ Structured Data
เมื่อช่วงต้นเเดือนเมษา (7 เม.ย. 2022) ทาง Google ได้ทำ Podcast : Structured data: What’s it all about? ว่าด้วยเรื่อง Structured Data เอาไว้ เผื่อใครสนใจสามารถตามไปฟังกันได้ครับ (เป็นภาษาอังกฤษนะฮะ) หรือจะอ่านจากที่ Google ถอดเทปไว้ก็ได้
Schema คืออะไร
ในเชิงเว็บไซต์ Schema คือ รูปแบบภาษากลาง ทำหน้าที่อธิบายคอนเทนต์ในเว็บ เพื่อให้ระบบ Search Engine เข้าใจ ใช้ร่วมกับการทำ Structured Data
แนวคิดการใช้ Schema เป็นหนึ่งในแนวคิดการพัฒนาเว็บเชิงความหมาย (Semantic Web) วัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เกิดแลกเปลี่ยนข้อมูลและเข้าใจความหมายไปในทิศทางเดียวกัน
เราอาจเปรียบ Schema ว่าเป็นเหมือนโปรโตคอล (Protocol) กลาง ในทางคอมพิวเตอร์แบบนึงก็ได้ ซึ่งเราจะใช้รูปแบบภาษากลาง หรือโปรโตคอลกลางจาก Schema.org เป็นหลัก
เมื่อหลายปีก่อน มักเขียน Schema โดยผสานรูปแบบภาษาพิเศษอย่าง RDFa, Microdata รวมไปกับ HTML เลย แต่ปัจจุบัน Google แนะนำให้ใช้ภาษา JavaScript และใช้รูปแบบภาษาพิเศษ JSON-LD แทน
Raw Data คืออะไร
Raw Data คือ คอนเทนต์ที่เราเขียนทั่วไปในเว็บไซต์ แบบที่ยังไม่มีการจัดรูปแบบใด ๆ เลย
คำอธิบายแบบไม่เป็นทางการ
ส่วนนี้เป็นการอธิบายแบบย่อ ใช้การเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งจะไม่มีข้อมูลเชิงลึกเลย เน้นเห็นภาพคร่าว ๆ
ให้ลองนึกการสร้างบ้านใหม่บนพื้นที่เปล่า เราอาจเปรียบ
- Rich Results เปรียบเหมือนบ้านที่สร้างและตกแต่งเสร็จเรียบร้อย พร้อมอยู่ พร้อมรับแขก
- Rich Snippet เหมือนของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้รอบบ้าน เพื่อให้ดูมีสไตล์ขึ้น
- Schema เหมือนสไตล์บ้าน ว่าเราอย่างสร้างบ้านหรือแต่งบ้านแบบไหน ทรงยุโรป ทรงเอเชีย เป็นต้น
- Structured Data เปรียบเหมือนแปลนบ้าน/พิมพ์เขียวของบ้าน แสดงถึงโครงสร้าง องค์ประกอบทั้งหมดในการวางโครงสร้างของบ้าน
เชื่อว่าเพื่อน ๆ น่าจะพอเข้าใจหน้าที่และความแตกต่างของ 3 คำ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data กันแล้วนะครับ
Rich Snippets / Structured Data มีกี่แบบ
สคีมา(Schema) และข้อมูลที่มีโครงสร้าง(Structured Data) ที่ถูกกำหนดโดยเว็บไซต์ Schema.org แล้วนำมาสร้าง Rich Snippets / Structured Data มีอยู่หลายร้อยแบบ แต่ในแง่การใช้จริง เรายังไม่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบัน Search Engine ยังรองรับการแสดงผลได้ไม่กี่แบบเท่านั้น
จากข้อมูลล่าสุด Google รองรับ Rich Snippets / Structured Data อยู่ 31 แบบ
Rich Snippets / Structured Data ที่ Google รองรับ
- Article
- Book
- Breadcrumb
- Carousel
- Course
- Dataset
- EmployerAggregateRating
- Estimated salary
- Event
- Fact Check
- FAQ
- Home Activities
- How-to
- Image License
- Job Training (beta)
- JobPosting
- Local Business
- Logo
- Math solvers
- Movie
- Podcast
- Practice problems
- Product
- Q&A
- Recipe
- Review snippet
- Sitelinks Search box
- Software App (beta)
- Speakable
- Subscription and paywalled content
- Video
แต่ต้องยอมรับว่าทั้ง 31 แบบ ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด
เพราะในบางแบบ มีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ใช้ได้เฉพาะบางเว็บ ต้องส่งคำขอใช้งานไปที่ Google ใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษและในบางประเทศเท่านั้น ฯลฯ
ดังนั้นจะเหลือ Rich Snippets / Structured Data ที่เว็บทั่วไปสามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องขอหรือมีเงื่อนไขเพิ่มเติมอยู่ประมาณ 10 แบบ ที่นิยมใช้
Rich Snippets / Structured Data ยอดนิยมและนำมาใช้เองได้
- Article
- Breadcrumb
- Event
- FAQ
- How-to
- Local Business
- Product
- Recipe
- Sitelinks Search box
- Video
ในสถานการณ์จริงเราอาจไม่ได้ใช้หมดนะฮะ และอย่าลืมว่าการใส่ Rich Snippets / Structured Data เอาไว้ ไม่ได้หมายความว่า Google จะดึงมาแสดงผลให้นะครับ
เนื้อหายาวมากเลยใช่ไหมครับ 🙂
ผมได้ทำสรุปว่า Rich Snippets / Structured ทั้ง 31 แบบ พร้อมคำแนะนำและเงื่อนไขเพิ่มเติม ว่าอันไหนใช้ได้ อันใช้ไม่ได้ อันไหนต้องมีระบบเพิ่ม ไว้ใน e-book : คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator ฮะ เผื่อใครสนใจสามารถไป ดาวน์โหลดได้ที่นี่
วิธีใส่ Rich Snippets / Structured Data ลงในคอนเทนต์บนเว็บไซต์
การใส่ Rich Snippets / Structured Data ลงในเว็บไซต์ จะมีอยู่ 3 วิธีหลักที่นิยมทำกัน คือ
- ใช้เทมเพลตโค้ดจาก Google มาปรับแต่งและใส่ในเว็บไซต์ด้วยตนเอง
- ใช้ปลั๊กอิน SEO ช่วย กรณีทำเว็บไซต์ด้วย WordPress
- ใช้เครื่องมือช่วยสร้างโค้ดแบบกึ่งอัตโนมัติ ปรับแต่งได้เอง
สำหรับวิธีที่ผมจะแชร์ในบทความนี้ คือ วิธีที่ 3 – ใช้เครื่องมือช่วยสร้างโค้ดแบบกึ่งอัตโนมัติ
สาเหตุที่ผมเลือกสอนวิธีนี้
- ฟรี ไม่เสียเงินสักบาทและใช้ได้จริง (อันนี้สำคัญ ฮ่า ๆ)
- มีเครื่องมือนึงช่วย ไม่ต้องเขียนโค้ดเอง ไม่ต้องมีทักษะทางโปรแกรมมากมาย (คนทั่วไปใช้ได้)
- ใช้ได้ทั้งเว็บเขียนเองและเว็บ WordPress ไม่ต้องติดปลั๊กอินเพิ่ม
- ช่วยให้เข้าใจหลักการใช้ Rich Snippets / Structured Data มากขึ้น และนำไปประยุกต์ต่อได้
ข้อแนะนำการใส่ Rich Snippets / Structured Data
สำหรับใครที่ทำเว็บไซต์ด้วย WordPress และใช้ปลั๊กอิน SEO อยู่แล้ว เช่น Yoast, SEOPress ฯลฯ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Structured Data ซ้ำซ้อน เนื่องจากปลั๊กอิน SEO ส่วนใหญ่จะสร้างสคีมาพื้นฐานนี้ให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เช่น
- Article
- Breadcrumb
- Logo
- Sitelinks Search box
การใส่ Structured Data ซ้ำซ้อนอาจไม่ได้ส่งผลอะไร แต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการใส่ซ้ำเช่นกัน
วิธีทำและวิธีใส่ Structured Data ลงในเว็บไซต์
ผมจะขอยกตัวอย่างวิธีใส่ Structured Data ลงในเว็บสัก 1 แบบ ก่อนนะฮะ (จะได้ไม่ยาวเกินไป) ส่วนแบบอื่น เพื่อน ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก e-book คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator ฮะ
ขั้นที่ 1 : สร้างโค้ด Structured Data โดยใช้ตัวช่วย
ผมขอยกตัวอย่าง Structured Data แบบ Article ซึ่งเป็นการทำ Structured Data ใช้สำหรับอธิบายคอนเทนต์ประเภท บทความ(Article)
1. ไปที่เว็บไซต์ช่วยสร้าง Schema/Structured Data ที่ต้องการ สามารถใช้ของเว็บไหนก็ได้ ส่วนตัวผมชอบใช้ของเว็บไซต์ technicalseo ซึ่งจะมีอธิบายเพิ่มใน e-book นะครับ
2. เลือก Schema แบบ Article
3. ช่อง Article @type เลือกประเภทย่อยของบทความเรา
- Article ใช้สำหรับบทความทั่วไปแบบไม่ระบุเฉพาะ ว่าเป็นบทความข่าวหรือบทความแบบเว็บบล็อก
- NewsArticle ใช้สำหรับบทความแบบข่าว
- BlogPosting ใช้สำหรับบทความแบบข่าวเว็บบล็อก
4. ช่อง URL ระบุ URL ของคอนเทนต์เรา (ต้องเป็น URL ที่ใช้ได้จริงและมี https:// นำหน้า)
5. Headline ระบุชื่อบทความของเรา
6. Image URL ระบุภาพที่เราใช้ในบทความ
- หากต้องการเพิ่มภาพมากกว่า 1 ภาพ ให้คลิกปุ่ม +image
7. ช่อง Short description ระบุรายละเอียดบทความแบบสั้น ๆ
8. ช่อง Author @type เลือกประเภทผู้เขียนบทความของเรา
- Person ใช้สำหรับกรณีเขียนบทความในนามบุคคล
- Organization ใช้สำหรับกรณีเขียนบทความในบริษัท/องค์กร
9. ช่อง Author ระบุชื่อผู้เขียน ให้อิงตามประเภทผู้เขียนในข้อ 8 ที่เราเลือกไว้
- หากเลือก Person ให้ใส่ชื่อบุคคล
- หากเลือก Organization ให้ใส่ชื่อบริษัท/องค์กร
10. Author URL ระบุ URL หน้าเว็บเฉพาะของผู้เขียน หากไม่มีสามารถใส่ URL เว็บหลักแทนได้ (ต้องเป็น URL ที่ใช้ได้จริงและมี https:// นำหน้า)
11. Publisher ระบุชื่อสำนักพิมพ์/บริษัท/องค์กร หากไม่มีสามารถใส่ชื่อเว็บหลักแทนได้
12. Publisher URL ระบุชื่อสำนักพิมพ์/บริษัท/องค์กร หากไม่มีสามารถใส่ URL เว็บหลักแทนได้ (ต้องเป็น URL ที่ใช้ได้จริงและมี https:// นำหน้า)
13. Date Published เลือกวันที่บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรก
14. Date Modified เลือกวันที่บทความนี้ถูกแก้ไขล่าสุด หากไม่มีให้กำหนดวันเดียวกับ Date Published
ขั้นที่ 2 : นำโค้ดทดสอบกับ Google Rich Results test
Google Rich Results Test เป็นเครื่องมือช่วยตรวจสอบชุดโค้ดหรือ URL ว่าเว็บไซต์เรารองรับการแสดงผลแบบ Rich Results หรือไม่
ผลทดสอบที่ควรนำไปใช้ คือ “ตรวจพบรายการที่ถูกต้อง X รายการ” ถ้ายังมีคำเตือนหรือข้อผิดพลาดอยู่ ควรแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน
เพื่อน ๆ สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนได้ หากต้องการตรวจสอบทีเดียวตอนใส่ลงเว็บไซต์แล้ว (สามารถเลือกได้ตามควาสะดวก)
ขั้นที่ 3 : นำโค้ดที่ผ่านการทดสอบ ไปใส่ในเว็บไซต์
กรณีเว็บแบบเขีนเอง
สามารถฝังไว้ที่ส่วนใดก็ได้บนเว็บไซต์ที่รองรับการใส่ HTML ไม่จำเป็นต้องฝังไว้ที่ส่วน Header เหมือนชุดโค้ดอื่น การฝังไว้ที่ส่วน Header ควรใช้เท่าที่ความจำเป็น เพื่อลดระยะเวลาโหลดเว็บไซต์
กรณีเว็บแบบ WordPress
สามารถใช้การ Add Blocks แบบ Custom HTML เพื่อแทรกชุดโค้ดภายนอกได้เลย (ในที่นี้คือ ชุดโค้ด Structured Data)
- ไปที่โพสต์หรือหน้าเว็บที่เราต้องการใส่ จากนั้นเลือก Add block
- เลือก block แบบ Custom HTML
- วางโค้ดที่เราได้ลงในช่องนี้ เพื่อให้ฝังลงในหน้านั้น ๆ โดยตรง
- Save หรือ Publish อีกรอบ (อย่าลืมเคลีย์แคชไฟล์ต่าง ๆ ก่อนนะครับ) เพื่อให้ระบบจำของใหม่ที่เราใส่เข้าไปแทนของเดิ
ขั้นที่ 4 : นำ URL ไปทดสอบกับ Google Rich Results test อีกครั้ง
เพื่อดูว่าโค้ด Structured Data ถูกฝังในหน้า URL นั้นจริงหรือไม่
กรณีพบข้อผิดพลาดหรือตรวจไม่พบ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
- ใส่ค่าผิดช่อง อาจลองตรวจสอบอีกครั้งว่าช่องไหนใส่อะไร ตัวเลข ตัวอักษร
- สัญลักษณ์ – อักษรพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการใส่ เช่น ปีกกา ดอกจันท์ ฯลฯ เพราะบางทีมันส่งผลกับตัวโค้ด
- ระบบบแบบแคชไฟล์ ที่ยังจำค่าเก่าอยู่ แนะนำให้ล้างแคชไฟล์ทั้งหมดก่อนทดสอบ
- เว็บไซต์ไม่รองรับการใส่โค้ดภายนอก อันนี้จะยากหน่อย แต่หากเกิดกรณีนี้ อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ Google Tag Manager ในการแทกโค้ดแทน (เรื่องนี้ต้องอธิบยาว ขอละไว้ก่อนนะครับ)
ขั้นที่ 5 : เสร็จแล้ว! รอให้ Google ตรวจพบและแสดงผล
ในบางกรณีเราอาจใช้ Google Search Console เพื่อช่วยทดสอบ URL และขอให้ Google อ่าน/ทำดัชนี URL ได้
แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ Google นะครับ ว่าจะนำ Structured Data ที่เราใส่มาแสดงหรือไม่ และแสดงผลในจังหวะไหน (เราบังคับไม่ได้)
และนี่คือวิธีประยุกต์ใช้ Rich Snippets / Structured Data ช่วยเสริมการทำคอนเทนต์เชิง SEO ของเราครับ
ซึ่งนอกจาก Structured Data แบบ Article แล้ว เรายังมีอีกหลายแบบที่สามารถนำมาประยุตก์ใช้ได้ (อย่างในภาพตัวอย่างด้านล่าง) สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก e-book คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator ฮะ
สุดท้ายที่อยากฝาก : คอนเทนต์(Content) ยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ
การใช้ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data อาจช่วยให้คนเข้ามาที่เว็บไซต์ หรือเรียกอีกอย่างว่าเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) มากขึ้นก็จริง แต่ในมุมคนทำคอนเทนต์หรือ Content Creator เราต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจทำคอนเทนต์ให้ดีตามไปด้วย
และอยากให้เพื่อน ๆ มองว่าเราใช้ Rich Snippets, Rich Results และ Structured Data ในฐานะ “เครื่องมือช่วย” มากกว่าเครื่องมือหลัก
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ทุ่มลงคอนเทนต์อย่างเดียวนะฮะ อันนี้ก็สุดโต่งเกินไป
จากประสบการณ์ของผมเอง การทำคอนเทนต์ให้ดีในยุคนี้ ต้องรู้จักการประยุกต์หลายเทคนิคจากหลายศาสตร์เข้ามาช่วย เช่น
- ศาสตร์ทาง SEO เราควรประยุกต์เทคนิคการเลือกใช้ Keyword การใช้ Search Intent ฯลฯ (สามารถอ่านเรื่อง Search Intent เพิ่มเติมได้ที่นี่)
- หรือในศาสตร์ทางการตลาด การโฆษณา เราอาจประยุกต์หลักแนวคิด Content Marketing, Contextual Marketing เข้ามาช่วย (สามารถอ่านเรื่อง Contextual Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่)
FAQ
Rich Snippets และ Structured Data แสดงผลที่ไหน
แสดงผลในหน้าผลการค้นหา(Search Engine Result Pages : SERPs) เป็นหลัก แต่สามารถแสดงผลส่วนอื่นได้ด้วยในบางรูปแบบ เช่น ในแถบ Image, แถบ Video เป็นต้น
Rich Snippets และ Structured Data แสดงผลตอนไหน
เมื่อมีการค้นหาและเจอคอนเทนต์ของเราในหน้าแสดงผล แต่…ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการแสดงผลของ Search Engine นั้น ๆ เราไม่สามารถบังคับการแสดงผลได้ และไม่ได้หมายความว่าทุกเว็บจะแสดง Rich Snippets และ Structured Data ที่ใส่ไว้ทั้งหมด
แม้แต่ Google เองก็มี หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับข้อมูลที่มีโครงสร้าง กำหนดไว้ เช่น ใช้ Rich Snippets และ Structured Data ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย หรือใช้เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นต้น กรณีนี้ Google ก็จะไม่แสดงผลให้เลย
เพราะงั้นแนะนำให้เลือกใช้แบบที่สอดคล้องกับเนื้อหากันด้วยนะครับ ถ้าเนื้อหาสอดคล้องและเข้าเงื่อนไข Google จะนำมาแสดงผลให้เองฮะ
ข้อมูลเพิ่มเติม : หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับข้อมูลที่มีโครงสร้าง
https://developers.google.com/search/docs/advanced/structured-data/sd-policies
e-book : คัมภีร์วิธีใช้ Google Rich Snippets ในการทำคอนเทนต์ SEO ฉบับ Content Creator
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อ่านแล้วยังงง ๆ อยู่ และอยากรู้ว่าผมใช้เว็บไซต์ไหนในการช่วยสร้าง Rich Snippets / Structured Data เพื่อน ๆ สามารถสนับสนุน e-book ได้ที่นี่ มีทั้งหมด 187 หน้า
ในเล่มนี้ผมจะเขียนถึง
- วิธีสร้างสคีมาที่เราสามารถนำมาใช้ได้อีก 9 แบบ ยอดนิยมอย่าง Video, Product Review ฯลฯ
- วิธีใช้เครื่องมือแบบละเอียด บอกทุกจุดว่าคืออะไร ใส่ค่าอย่างไร
- แนะนำการใช้งานจากประสบการณ์จริงว่าแบบไหนควรใช่ แบบไหนเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นง่ายกว่า
- ฯลฯ